Welcome to krupornsak blog

เมื่อมีโอกาสทำงาน......."เมื่อมีโอกาสทำงานและมีงานทำ ควรเต็มใจทำโดยไม่จำเป็นต้องตั้งข้อแม้หรือเงื่อนไขอันใด ไว้ให้เป็นเครื่องกีดขวาง คนที่ทำงานได้จริงๆ นั้น ไม่ว่าจะจับงานสิ่งใด ย่อมทำได้เสมอ ถ้ายิ่งมีความใส่ใจ มีความขยันและซื่อสัตย์สุจริต ก็ยิ่งจะช่วยให้ประสบผลสำเร็จในงานที่ทำสูงขึ้น"

พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร วิทยาลัยเทคโนโลยีและอาชีวศึกษา

8 กรกฎาคม 2530

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2568

เทคนิคการอ่านเร็ว

 เทคนิคการอ่านเร็ว

ที่มา FB:สหายสอบ


1. อ่านแบบ Scanning และ Skimming

    - Scanning คือ การมองหาคำสำคัญที่คุณต้องการ เช่น หัวข้อ ชื่อบุคคลหรือคำหลักต่างๆ โดยมองข้ามคำที่ไม่สำคัญ

    - Skimming คือ การอ่านคร่าวๆ เพื่อจับใจความหลักของแต่ละย่อหน้า เช่น อ่านเพียงประโยคแรกหรือประโยคสุดท้ายในย่อหน้า การใช้เทคนิคนี้จะช่วยให้คุณรับรู้แนวคิดหลักได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องอ่านทุกคำ

2. ฝึกการอ่านเป็นกลุ่มคำไม่ใช่อ่านทีละคำ

    - แทนที่จะอ่านทีละคำให้ลองมองไปที่กลุ่มคำหรือวลีสั้นๆ การมองเห็นหลายคำพร้อมกันช่วยให้สมองของคุณประมวลผลได้เร็วขึ้น ลดเวลาที่ใช้ในการตีความแต่ละคำและทำให้คุณจับใจความได้เร็วขึ้น

3. ใช้ดินสอหรือปลายนิ้วช่วยกาดสายตา

    - ใช้ดินสอหรือปลายนิ้วชี้ไปที่บรรทัดที่คุณกำลังอ่าน เพื่อช่วยให้สายตาติดตามไปได้รวดเร็วและเป็นจังหวะ การเคลื่อนสายตาให้ไปตามแนวดินสอหรือปลายนิ้วช่วยป้องกันไม่ให้คุณอ่านกลับไปยังข้อความที่เคยอ่านแล้วและทำให้การอ่านเร็วขึ้น

4. อ่านโดยไม่เปล่งเสียงในใจ (Subvocalization)

    - เมื่อเราอ่าน เรามักจะเปล่งเสียงในใจไปพร้อมๆ กับการอ่าน ทำให้เราต้องอ่านตามจังหวะเสียงภายใน ลองฝึปอ่านโดยการมองผ่านข้อความอย่างรวดเร็วโดยไม่เปล่งเสียงในใจ การอ่านแบบนี้จะช่วยให้คุณอ่านเร็วขึ้น โดยไม่ถูกจำกัดด้วยจังหวะของเสียงในใจ

5. จับใจความสำคัญและข้ามรายละเอียดที่ไม่จำเป็น

    - ในการอ่านเพื่อหาความรู้บางอย่าง เราไม่จำเป็นต้องจดจำทุกคำที่อ่าน ลองฝึกให้จับใจความสำคัญของย่อหน้าและประเด็นหลัก และข้ามรายละเอียดที่ไม่จำเป็นไป เทคนิคนี้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาและยังได้สาระสำคัญของเนื้อหา

6. ฝึกอ่านเป็นเวลาและทำเป็นประจำ

    - การอ่านเร็วและเป็นทักษะที่ต้องใช้การฝึกฝนฝึกอ่านวันละ 10-15 นาทีต่อวัน โดยใช้เทคนิคข้างต้นและค่อยๆ เพิ่มความเร็วเมื่อคุณรู้สึกคุ้นเคย การอ่านเป็นประจำช่วยให้คุณสามารถพัฒนาทักษะนี้และอ่านได้เร็วขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ

7. ใช้เครื่องมือช่วยในการอ่านเร็ว

    - ปัจจุบันมีแอปพลิเคชั่นและเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยให้เราฝึกการอ่านเร็ว เช่น แอปที่แสดงคำทีละคำบนหน้าจออย่างรวดเร็ว เพื่อช่วยฝึกการโฟกัสและการสแกนข้อความการใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยเพิ่มทักษะในการจับใจความและช่วยให้คุณพัฒนาการอ่านเร็วได้


วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2566

4 เทคนิคลดปวดจากการใช้คอมพิวเตอร์

 4 เทคนิคลดปวดจากการใช้คอมพิวเตอร์

1.  การนวด ใช้มือตัวเองบีบนวดกล้ามเนื้อที่ปวด จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายเลือดลมเดินได้สะดวกขึ้น อาการปวดจึงทุลาลง

2. ประคบด้วยความร้อน เป็นวิะีสุดคลาสสิค แต่ได้ผลค่อนข้างดี เพราะความร้อนจะช่วยให้เส้นเลือดขยายตัว สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อที่ปวดได้ อาการปวดจึงบรรเทา

3. เปลี่ยนอริยาบท เป็นวิธีที่ดีมาก ควรใช้ป้องกันมากกว่าการรักษา วิธีนี้ช่วยไม่ให้กล้ามเนื้อต้องทำงานจนล้า เพราะเมื่อเปลี่ยนท่าทางกล้ามเนื้อชุดใหม่จะทำงานแทน กล้ามเนื้อชุดเก่าจะได้พัก การสลับการทำงานของกล้ามเนื้อเช่นนี้ ช่วยให้กล้ามเนื้อไม่อ่อนล้าเร็ว จึงทำงานได้นาน

4. บริหาร โดยเลือกท่ากายบริหารที่เหมาะสม หากทำเป็นประจำจะช่วยสลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อได้รวดเร็ว ช่วยยืดเหยียดกล้ามเนื้อและทำให้พลังในร่างกายไหลเวียนอย่างต่อเนื่อง

หากปฏิบัติเป็นประจำก็จะลดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อและโรคกระดูกที่อาจจะเกิดตามมาด้วย

ที่มา: หนังสือ ชีวจิต ฉบับวันที่ 1 เมษายน 2557 www.cheewajit.com

วันพุธที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2566

พระวิศณุกรรม เทพเคารพของเหล่าช่าง


     
     จากการที่เป็นนักเรียนเข้าศึกษาในวิทยาลัยเทคนิคซึ่งเป็นสถานศึกษาของอาชีวศึกษา จนได้มาเป็นครูทำงานในสถาบันอาชีวศึกษา ก็จะพบเห็นรูปเคารพของเทพที่มักจะตั้งประดิษฐานอยู่บริเวรด้านหน้าของสถานศึกษา เพื่อให้ผู้ที่อยู่ในสถานศึกษาได้ทำความเคารพ จึงทำให้เกิดความสนใจถึงประวัติความเป็นมาของท่าน

          พระวิศวกรรม (สันสกฤตविश्वकर्मा) หรือ พระวิษณุกรรม (บาลีวิสฺสุกมฺม) หรือ พระเพชรฉลูกรรม เป็น เทวดานายช่างใหญ่ของพระอินทร์ ตามตำนานกล่าวว่า เป็นผู้สร้างเครื่องมือ สิ่งของต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น และเป็นแบบอย่างให้กับมนุษย์สืบมา พระวิศวกรรมรับเทวโองการต่าง ๆ จากพระอินทร์ เพื่อสร้าง อุปกรณ์ สิ่งของ อาคาร ต่าง ๆ มากมาย เป็นผู้นำวิชาช่าง มาสอนแก่มนุษย์ นับแต่นั้นมามนุษย์จึงรู้จักการสร้างและใช้งานสิ่งของต่าง ๆ จนมีการพัฒนารูปแบบมาจนถึงปัจจุบันนี้ 

          ช่างไทยแขนงต่าง ๆ ให้ความเคารพบูชาพระวิศวกรรมในฐานะครูช่าง หรือเทพแห่งวิศวกรรมของไทย โดยเรามักพบเห็นรูปจำลององค์ท่านได้บ่อย ๆ ตามสถานศึกษาทางช่างทุกสถาบัน โดยนิยมสร้างอยู่สองท่า คือ ท่าประทับนั่งห้อยพระบาท พระหัตถ์ข้างหนึ่งถือ ผึ่ง (จอบสำหรับขุดไม้) และอีกข้างถือ ดิ่ง และท่าประทับยืนมือขวาถือไม้เมตรหรือไม้วา มือซ้ายถือลูกดิ่งและไม้ฉาก

ที่มาขององค์พระวิษณุกรรมทั้ง 2 ท่านี้ พอขยายความได้ว่า หากสถาบันใดเปิดสอนวิชาชีพช่างก่อสร้าง มักอยู่ในท่ายืนมือถือลูกดิ่งและไม้เมตรหรือไม้วาอันเป็นเครื่องมือของช่างก่อสร้างมาแต่สมัยโบราณซึ่งช่างทั้งหลายทราบดีว่าเป็นเครื่องมือสำหรับวัดระยะ วัดความเที่ยงตรง แต่สิ่งที่นอกเหนือไปจากนั้นยังแฝงไปด้วยปรัชญาในการดำเนินชีวิต คือความแม่นยำ เที่ยงตรง ไม่เอนเอียงในทางปฏิบัติ ซึ่งเป็นที่มาของช่างที่ดี คือความมีคุณธรรมประจำใจ หากสถาบันใดเปิดสอนวิชาชีพสาขาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ช่างก่อสร้างอยู่ด้วย มักจะใช้ท่านั่ง เข้าใจว่าผู้สร้างคงจะชี้ให้เห็นเด่นชัดถึงสถาบันผู้ผลิตช่างก่อสร้าง อันเป็นช่างเก่าแก่มีมาแต่ก่อนแล้ว

ในพุทธศาสนาของเรานั้นพระวิศวกรรมมีบทบาทมาก  ในตำนานเล่าว่า ท่านเป็นผู้สร้างบรรณศาลาและอาศรมให้แก่พระโพธิสัตว์หลายพระองค์  เท่าที่จำได้ก็เห็นจะเป็นพระเวสสันดร  ในมหาเวสสันดรชาดก  เป็นผู้สร้างบันไดเงิน บันไดทอง บันไดแก้วถวายแด่สมเด็จพระสรรญเพชรชุดาญาณสัมมาสัมพุทธเจ้า  เพื่อใช้เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มายังโลกมนุษย์ที่เมืองสังกัส-สนคร หลังจากเสร็จภารกิจในการเทศนาโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ช่วงเข้าพรรษา

ส่วนในวรรณคดีไทยก็มีปรากฏอยู่หลาย ๆ เรื่องที่พระวิศวกรรมเข้าไปเกี่ยวข้อง  เพราะต้องทำตามบัญชาของพระอินทร์ในการช่วยเหลือผู้มีบุญ  เช่นในเรื่องสังข์ทอง  (ในปัญญาสชาดกเรียกว่า  "สุวรรณสังขราชกุมาร")  พระอินทร์ก็มีเทวบัญชาให้พระวิศวกรรมไปท้าท้าวสามนต์บิดาของนางจรนาตีคลี  ซึ่งสุดท้ายพระสังข์ก็ต้องถอดรูปเงาะและอาสาออกไปแข่งคลีแทน

ในรามเกียรติ์ก็บอกว่าเมืองลงกาของทศกัณฐ์และเมืองทวารกาของพระกฤษณะนั้นก็สำเร็จด้วยฝีมือของพระวิศวกรรมเช่นกัน  และถ้าใครอ่านชื่อเต็มของกรุงเทพฯ  ให้ดี ๆ ก็จะพบว่า  พระวิษณุกรรมเป็นผู้สร้างด้วยนะ  ไม่เชื่อลองไปดูคำว่า  “…วิษณุกรรมประสิทธิ์”  สิครับ

อีกตอนหนึ่งที่พระวิศวกรรมมีบทบาทก็คือตอนกำเนิดพระคเณศวร  คือแรกเริ่มเดิมทีพระคเณศวรก็เหมือนกับกุมารธรรมดาทั่วไปนั่นแหละ  แต่ด้วยวาจาสิทธิ์ของพระนารายณ์ก็เลยทำให้เศียรของพระกุมารคเณศวรขาดหายไป  ครานี้ก็ถึงทีที่พระวิศวกรรมต้องระเห็จไปหาเศียรมาต่อ  ตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ  พอดีไปเจอช้างพลายตัวหนึ่งนอนตายโดยหันหัวไปทางทิศเหนือ  (บ้างก็ว่าทิศใต้)  พระวิศวกรรมก็เลยตัดหัวช้างตัวนั้นแล้วนำมาต่อเข้ากับกายพระกุมารคเณศวร  และพระคเณศวรจึงมีเศียรเป็นช้างแต่นั้นมา

ในวรรณคดีเรื่องลิลิตนารายณ์สิบปาง  พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่หก  มีการกล่าวถึงพระวิศวกรรมไว้ในปางที่สอง  กูรมาวตาร  เรื่องของเรื่อก็คือว่ามีการกวนน้ำอมฤตกัน  และเมื่อกวนไป ๆ ก็เกิดของวิเศษผุดขึ้นมา ได้แก่  โคสุรภี  (เทวดายกให้พระฤษีวศิษฐ์)  เหล้า  ต้นไม้ปาริชาต  (พระอินทร์เอาไปเก็บไว้บนสวรรค์)  นางอัปสร  พระจันทร์  (พระอิศวรเอาไปเป็นปิ่นปักผม)  พิษ  (ตอนแรกงูและนาครีบมาสูบ  แต่พระอิศวรกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อโลก  พระองค์ก็เลยเสวยเสียเอง  ทำให้พระศอของพระองค์ไหม้เป็นสีดำ)  พระศรีเทวี  และสุดท้ายน้ำอมฤตก็ตามมา

ในตอนที่พระศรีเทวีหรือพระลักษมีผุดขึ้นมานั้น  พระวิศวกรรมเป็นผู้เนรมิตอาภรณ์ให้พระนางสรวมใส่  ดังโคลงที่ว่า

 

อันสุรเทพผู้                      ศิลปี

วิศวะกรรมาเอก                               ช่างนั้น

นิรมิตรเครื่องทรงศรี                      สุวรรณรัตน์

แวววับจับช่อชั้น                              นภา

 

เมื่อคราวที่พระศรีกำเนิดนั้นปวงเทวาและอสูรต่างหมายปอง  แต่พระนางไม่เหลียวแลใครเลย  พอใส่เสื้อผ้าเสร็จก็ไปถวายบังคมแทบบาทพระวิษณุนารายณ์  พระองค์ก็ทรงโอบกอดรับไว้กับทรวง  ทำนองประกาศว่า  ของข้าใครอย่าแตะ

                ไหน ๆ ก็ก้าวเลยมาถึงตำนานเทพของฮินดูแล้ว  ก็ขอเลยไปถึงเรื่องครอบครัวของพระวิศวกรรมอีกสักนิดก็แล้วกันนะครับ

                พระวิศวกรรมนั้นมีลูกสาวชื่อว่านางสัญชญา  เกิดแต่นางนางฆฤตาจี  ซึ่งเป็นหนึ่งในนางอัปสร 11  นางที่งามเลิศที่สุด 

นางสัญชญาเป็นมเหสีของพระอาทิตย์  ก็อยู่กินด้วยกันนานมาก  แล้วจู่ ๆ วันหนึ่งลูกสาวก็มาบ่นให้พ่อตัวฟังว่า  ชักจะทนรับรัศมีอันร้อนแรงของพระอาทิตย์ไม่ไหวแล้ว  ด้วยหัวอกของผู้เป็นพ่อที่รักลูกสาว  ก็เลยจับลูกเขยคือพระอาทิตย์มาขูดฉวี  (ผิวกาย)  ออกไปซะส่วนหนึ่ง  (ไม่รู้มากน้อยเท่าใด)  เพื่อลดความร้อนแรงให้น้อยลง  จากนั้นก็เอาส่วนที่ขูดออกมานั้นไปออกแบบเป็นอาวุธนานาชนิดจ่ายแจกแก่เทวดาทั้งหลาย  เช่น  ทำตรีศูลถวายให้พระอิศวร  จักร  สำหรับพระนารายณ์   วชิราวุธ  (สายฟ้า)  ให้พระอินทร์   คทา  ให้ท้าวกุเวร และ โตมร (อาวุธสำหรับใช้ซัด - หอก) ให้พระขันทกุมาร เป็นต้น

บทบาทของนายช่างเอกแห่งสวรรค์ยังไม่หมดนะครับ  เพราะนอกจากจะเป็นนายช่างใหญ่แล้ว  พระวิศวกรรมยังมีความสามารถทางด้านดุริยะดนตรีอีกด้วย  ตามตำนานกล่าวว่า เป็นผู้สร้างเครื่องดนตรีขึ้นใช้ ทำให้เกิดเสียงที่ไพเราะขึ้น ดังนั้น เราจึงเคารพบูชาท่านในฐานะ เป็นครูผู้สร้างสรรค์เครื่องดนตรีให้เกิดขึ้น ตามตำนานเล่าต่อกันมาว่า เมื่อแรกในอดีตกาล มนุษย์ยังไม่มีอารยะธรรมอย่างเช่นทุกวันนี้ การละเล่นและการบันเทิงต่าง ๆ ยังไร้ระบบระเบียบ จะร้องจะเล่นสิ่งใดก็ขาดความไพเราะและความงดงาม จนร้อนถึงพระอินทร์ ด้วยนึกเวทนาเหล่ามนุษย์จึงมีเทวบัญชาให้พระวิศวกรรมนายช่างใหญ่ประจำสวรรค์ ลงมาบอกสอนมนุษย์ให้รู้จักการละเล่นอย่างเหมาะสม พระวิศวกรรมรับเทวโองการแล้วจึงเสด็จลงมายังโลกมนุษย์และจำแลงองค์เป็นชีปะขาวเที่ยวจาริกไป ถึงท้องที่ถิ่นใดก็นำความรู้การละเล่นต่าง ๆ วิชาช่าง รวมถึงวิชาช่างทำเครื่องดนตรีมาสอนแก่มนุษย์ นับแต่นั้นมามนุษย์จึงรู้จักการสร้างและเล่นเครื่องดนตรี จนมีการพัฒนารูปแบบมาจนถึงปัจจุบันนี้ 

ในวงการนาฏศิลป์ไทยมีการทำหัวโขนของพระวิศวกรรมด้วย  โดยมีสองแบบคือ  ทำเป็นหน้ามนุษย์ สีเขียวแก่ หรือเขียวใบแค สวมเทริด หรือมงกุฎยอดน้ำเต้า  และ  ทำเป็นหน้ามนุษย์ สีเขียวแก่ หรือเขียวใบแค ศีรษะโล้น มีกระบังหน้าหรือโพกผ้าสีเขียนลายดอกไม้บริเวณผม นัยว่าแบบนี้แสดงถึงช่วงที่ทำงานช่างจึงไม่ทรงเครื่องประดับ แต่มักพบเห็นได้น้อยกว่าแบบแรก

ในการบูชาพระวิศวกรรมนั้นคนโบราณได้ผูกเป็นคาถา  ขั้นตอนและพิธีกรรมไว้ดังนี้

 

***  การสักการะบูชาองค์พระวิษณุกรรม
บูชาด้วยดอกไม้ ธูปเทียนเครื่องหอม จุดธูป ดอก
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ (จบ)

คาถาบูชา
โอม นะโม วิษณุกรรม นะมะ ภะวันตุเม
ทุติยัมปิ นะโม วิษณุกรรม นะมะ ภะวันตุเม
ตะติยัมปิ พระลักษมี อิตถีเทวะ เมตะตัญจะ มหาลาโภ

บทอธิษฐานขอพร
บูชาและถวายเครื่องบวงสรวง จุดธูป 16 ดอก (แก้บน 32 ดอก)
โอมสะศางขะจักรัม สะกิริฏะกุณตะลัม สปิตะวัสตรัม
สะระสีรูเหกษณัม สะหาระวักษะสถะระ เกาวตุภะ ศริยัม
นะมามิ วิษณุม ศิระสา จตุรภุชัม

เชิญพระวิษณุกรรม
โอม คุรุ เทวา นะมามิ วิษณุกรรม กันเจวะ อาจาริยัง เทวา มหาปัญโย นิมิตตัง ศิลปนามัง โยธามิเศษตัง ปฏิกรรมนานัง ภะวันตุโน อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ เอหิ นะมะมามา วันทามิ

บทถวายเครื่องบวงสรวง
บทที่ 1
อิมิ ธูปะพยัญชนะ สัมปัณนัง สาลีนัง โภชนานัง ทีปะ ธูปะ ทะมัง สักการะ วันทานัง อุเทวานัง คุรุ อาจาริยัง สัพพะทาติ อะหัง วันทามิ


บทที่ ว่าคาถาและนำธูปปักเครื่องสังเวยจนหมดทุกอย่าง
อิมัสมิง มงคลจักรวาลัง ภะวิสติ ชัยโย ชัยโยนิจัง สัพพะทุกขัง วินาศสันติ ปฏิสนธิตัง มหาลาโภ ชัยโยนิจัง พะวันตุเต


บทที่ ลาเครื่องบวงสรวงบูชา
เสสัง มังคะลัง วิษณุกรรมเทวานัง ยาจามิ (จบ)

 

ที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/พระวิศณุกรรม

          http://www.intech.crru.ac.th/pra_visanukum.asp

วันอังคารที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2566

ช่วงอายุเท่าไรทำอะไรได้ดีที่สุด

 ช่วงอายุเท่าไรทำอะไรได้ดีที่สุด

            พอดีนั่งเล่นอินเตอร์เน็ตเพื่อดูข้อมูลที่น่าสนใน จนมาเจอข้อมูลหนึ่งน่าสนใจและคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์จึงขออนุญาตคัดลอกข้อมูลนี้มาเผยแพร่นะครับ เผื่อจะมีประโยชน์แด่ท่านผู้อ่านบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ 

             มนุษย์แต่ละช่วงวัยก็จะมีพัฒนาการที่ค่อนข้างแตกต่างกัน หลายคนอาจจะพอรู้ว่า วัยเด็กเหมาะแก่การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ วัยรุ่นร่างกายจะมีความตื่นตัวมากที่สุด แต่ประเด็นเล็กน้อยอย่าง ความมีเสน่ห์ การจดจำชื่อผู้คน และช่วงเวลาที่มนุษย์พึงพอใจในการใช้ชีวิตล่ะ มันอยู่ช่วงวัยไหนบ้าง

.วันนี้ BrandThink จะพาทุกท่านมาดูแต่ละช่วงวัยว่าช่วงไหนเราจะก้าวสู่จุดสุดยอดในประเด็นใดบ้าง

.

7 ปี - เรียนภาษา

 ถึงแม้จะมีข้อโต้เถียงระหว่างนักวิทยาศาสตร์กันอยู่บ้าง แต่วัย 7 ขวบนับว่าเป็นช่วงเวลาก่อนโตเต็มวัยที่มนุษย์จะมีศักยภาพในการเรียนภาษาใหม่ๆ มากที่สุด

อ้างอิง: https://bit.ly/2H3fn4c

.

18 ปี - สมองมีพลังการประมวลผลมากที่สุด

 นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการทดลองสมอง โดยให้สมองแต่ละช่วงวัยทำการถอดรหัสทั้งในรูปแบบสัญลักษณ์และตัวเลข ผลลัพธ์ช่วยทำให้เราทราบว่าสมองในช่วงวัยรุ่นหรือตอนอายุ 18 เป็นสมองที่มีความสามารถในการประมวลผลได้ดีที่สุด

 อ้างอิง: https://bit.ly/2kBFero

.

22 ปี - จดจำชื่อผู้คน

 ผลการศึกษาจากปี 2010 ระบุว่า อายุ 22 ปีดูเหมือนจะเป็นวัยที่เราสามารถจดจำชื่อผู้คนได้ดีที่สุด

 อ้างอิง: https://bit.ly/2xpF5QO

.

23 ปี - ผู้หญิงมีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้ามมากที่สุด

 Datacylsm หนังสือของหนึ่งในผู้ก่อตั้งเว็บไซต์หาคู่ออนไลน์อย่าง OKCupid ได้ระบุไว้ว่าจากข้อมูลของพวกเขา ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ ผู้ชายมักจะชื่นชอบสตรีวัย 20 กว่าๆ แต่ในทางกลับกันผู้หญิงเองก็มักจะชอบผู้ชายที่แก่กว่าตัวเอง หรือเด็กกว่าเพียงไม่กี่ปีอยู่เสมอ

.

23 ปี - พึงพอใจในชีวิตตัวเอง

 จากการศึกษาชาวเยอรมนีกว่า 23,000 คน ผลปรากฏว่า วัย 23 ปีดูเหมือนจะเป็นวัยที่พวกเขาพึงพอใจในชีวิตตัวเองมากที่สุด

 อ้างอิง: https://bit.ly/2aDhlf2

.

25 ปี - แข็งแรงที่สุด

 กล้ามเนื้อของมนุษย์จะแข็งแรงที่สุดในช่วงอายุ 25 ปี โดยความแข็งแรงนั้นสามารถคงอยู่ไปได้อีกถึง 10 - 15 ปี หากมีการออกกำลังกายและฝึกฝนที่ดีพอ

 อ้างอิง: https://bit.ly/2L4hUh4

.

26 ปี - เหมาะแก่การแต่งงาน

 ตามกฎการคัดเลือก 37 เปอร์เซ็นต์ แล้ว เราจะพบว่า อายุที่เหมาะกับการลงหลักปักฐานมากที่สุดคืออายุ 26 ปี เพราะเราผ่านตัวเลือกมามากพอและก็ยังไม่สายเกินไป โดยยังมีผลการศึกษาอีกว่า คู่แต่งงานวัย 28 - 32 ปีมักจะมีอัตราการหย่าร้างต่ำที่สุด

 อ้างอิง: https://read.bi/2H2RDgv

.

32 ปี - จดจำใบหน้าได้ดีที่สุด

 จากการทดลอง คนวัย 32 ปีดูเหมือนจะเป็นช่วงวัยที่สามารถจดจำใบหน้าของคนแปลกหน้าได้ดีที่สุด

 อ้างอิง: https://bit.ly/2xpF5QO

.

39 ปี - ผู้หญิงเงินเดือนถึงจุดพีค

ถึงแม้ว่าจะเป็นการศึกษาจากเมืองนอก แต่จากการวิเคราะห์ของ Payscale ทำให้เราพอทราบว่า ผู้หญิงจะได้รับเงินเดือนอยู่ในจุดพีคประมาณอายุ 39 ปี (ไม่ใช่ว่าหลังจากนี้ได้เท่าเดิมหรือน้อยลง แต่ดูเหมือนว่าหลังจากช่วงเวลานี้เงินเดือนจะค่อนข้างเติบโตช้ากว่าหากเทียบกับแต่ก่อน)

 อ้างอิง: https://bit.ly/2IZAM06

.

43 ปี - โฟกัสได้ดีที่สุด

 ผลงานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Havard และ Boston ในปี 2015 ระบุไว้ว่าในวัย 40 กว่าปี หรือช่วงอายุ 43 ปี จะเป็นช่วงวัยที่สามารถจดจ่อ และโฟกัสกับอะไรนานๆ ได้ดีมากที่สุด ถึงแม้วัยหนุ่มสาวมักจะเป็นช่วงวัยที่เข้าใจอะไรรวดเร็วกว่าก็ตาม

 อ้างอิง: https://bit.ly/2H3bCM8

.

50 ปี - เข้าใจผู้อื่นได้ดี

 ในช่วงวัย 40 - 50 ปีดูเหมือนจะเป็นช่วงเวลาที่มนุษย์เป็นผู้ใหญ่มากพอ มีวุฒิภาวะมากพอ ทำให้เป็นอายุที่เราสามารถเข้าใจอารมณ์ของผู้คนได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะจากการทดลองกว่า 10,000 คน กับการจ้องมองดวงตาหนึ่งคู่ ผลปรากฏว่าผู้คนในวัยนี้เป็นช่วงวัยที่ระบุอารมณ์ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด

 อ้างอิง: https://bit.ly/2LEsE6K

.

69 ปี - พึงพอใจในชีวิต (อีกครั้ง)

 จากการศึกษาเดียวกันกับกรณีที่มนุษย์พึงพอใจในชีวิตตัวเองมากที่สุดในช่วงอายุ 23 ปีหลังจากนั้น พวกเราดูเหมือนจะมีความสุขและอิ่มเอมอีกครั้งหลังจากผ่านโลกมามากพอ โดยหากเปรียบกันในช่วงวัยกลางคนถึงวัยชรา อายุ 69 ดูเหมือนจะเป็นช่วงวัยที่พวกเรามีความสุขมากเลยทีเดียว

.

82 ปี - จิตใจมั่นคง

 นักวิจัยให้ผู้ที่มาทดลองช่วยวาดรูปบันได 10 ขั้น โดยชีวิตที่ดีที่สุดจะอยู่ด้านบนส่วนชีวิตที่เลวร้ายจะอยู่ด้านล่าง โดยกลุ่มคนอายุวัย 82 ปีมีค่าเฉลี่ยที่ดีที่สุด เพราะมีบันไดอยู่ในช่วงชีวิตที่ดีสูงถึง 7 ขั้นเลยทีเดียว

 อ้างอิง: https://bit.ly/2LEsE6K

.

และนี่ก็เป็นช่วงเวลาคร่าวๆ ของแต่ละช่วงเวลา แต่ก็ขอบอกก่อนว่า แต่ละประเด็นอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกคนเพราะไมว่าจะเป็นสมองหรือร่างกาย พวกเราก็ค่อนข้างแตกต่างกันอยู่แล้ว แล้วคุณล่ะครับ คิดว่าช่วงเวลาไหนคือสุดพีคของชีวิตคุณแล้วบ้าง

ที่มา: https://www.facebook.com/brandthink.me/photos/a.1767934240198787/2096030914055783/?paipv=0&eav=AfZmr7bxRMe0fexwb_pbu5b0y4SiV_AlJ8l2tl6KjEn9yDx7gEUdJ2PY7f0xVskEO8A&_rdr

FB:BrandThink โพสต์ เมื่อ 5 มิถุนายน 2518

ขอขอบคุณท่านเจ้าของข้อมูลด้วยนะครับ

การคิดช่วงอายุแบบใหม่

 ได้มีการปรับสูตรของช่วงอายุและวัยใหม่ เมื่อปี 2562/2022 โดยมีการกำหนดดังนี้

1. อายุ 1 - 20 ปี วัยเด็ก  ช่วงเรียนหาความรู้

2. อายุ 21 - 45 ปี วัยรุ่น ช่วงทำงานเริ่มส้างครอบครัว

3. อายุ 46 - 60 ปี วัยผู้ใหญ่ ช่วงใกล้เกษียณ

4. อายุ 61 - 70 ปี วัยกลางคน ช่วงพักผ่อนอยู่กับครอบครัว

5. อายุ 71 - 80 ปี วัยสูงอายุ ช่วงละทางโลกปล่อยวาง

6. อายุ 80 ปีขึ้นไป วัยชรา ช่วงเตรียมความพร้อม (จะอยู่ถึงไหม?) 

ที่มา: https://salehere.co.th/articles/a-new-way-of-thinking-about-age



วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สาเหตุของการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรในระบบไฟฟ้า

          ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่มนุษย์ได้คิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยให้ความสะดวกแก่มนุษย์ แต่สิ่งที่มีประโยชน์ก็ย่อมจะมีโทษตามมาด้วยไม่มากก็น้อย สิ่งหนึ่งที่เราอาจเคยพบหรือเคยได้ยินข่าวก็คือการเกิดไฟฟ้าลัดวงจร ซึ่งผลที่เกิดขึ้นอาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้คน หรืออาจเกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สิน โดยการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรในระบบไฟฟ้า อาจเกิดได้ตั้งแต่การออกแบบและติดตั้งระบบไฟฟ้าไม่ถูกต้ องตามมาตรฐาน ตัวอุปกรณ์ไฟฟ้าที่เลือกใช้ไม่ได้มาตรฐานมีการชำรุดเกิดขึ้น พฤติกรรมของผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีความประมาทใช้งานไม่ถูกต้องและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ขาดการตรวจสอบและบำรุงรักษา ได้มีการสรุปสาเหตุของการเกิดไฟฟ้าลัดวงจรที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งไว้ดังนี้
          1. สาเหตุที่เกิดจากสายไฟฟ้า อาจเกิดได้จาก
             ก) ฉนวนของสายไฟฟ้าชำรุด อาจเกิดจากการถูกของมีคมบาดหรือเกิดจากการถูกกดทับด้วยของหนัก หรือเกิดจากการกัดกร่อนของสารเคมี ความร้อนหรือการกัดแทะของสัตว์ สายไฟฟ้ามีการพับ การงอ การเสื่อมสภาพเนื่องจากอายุการใช้งานเป็นเวลานานทำให้ฉนวนที่ห่อหุ้มสายเกิดการแตกชำรุด ซึ่งเหตุต่างๆ เหล่านี้มีผลทำให้ฉนวนที่หุ้มสายสามารถที่จะเกิดการชำรุดเสียหายได้
                 ข) จุดต่อสายไม่แน่นหรือไม่สะอาด จุดต่อไม่มีการพันฉนวนป้องกัน เมื่อใช้งานจะเกิดความร้อนในบริเวณจุดต่อ เมื่อใช้งานนานๆ ความร้อนก็จะเกิดการสะสมทำให้ฉนวนของสายหรือจุดต่อชำรุดเสื่อมสภาพ
                ค) มีการใช้กระแสไฟฟ้ามากเกินกว่าขนาดสายไฟฟ้าที่จะรับได้ หรือต่อไฟในจุดเดียวกันนำไปใช้ในหลายๆ จุด ทำให้สายเกิดความร้อน และความร้อนที่สะสมทำให้ฉนวนที่หุ้มสายเกิดการชำรุดได้ง่าย
                ง) ใช้สายไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือใช้ผิดประเภทไม่สามารถทนแรงดันไฟฟ้าได้ ทำให้ฉนวนเสื่อมสภาพเร็วและชำรุด
                 จ) การใช้สายไฟฟ้าขนาดเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับภาระทางไฟฟ้าหรือโหลดที่จ่ายกระแสไฟฟ้า

          2. สาเหตุที่เกิดจากอุปกรณ์ไฟฟ้า อาจได้แก่
                ก) สวิตช์ไฟฟ้าที่มีหน้าสัมผัสหลวม หรือหน้าสัมผัสไม่ดี จะเกิดความร้อนระสมขึ้นที่หน้าสัมผัสหรือเกิดการอาร์คขึ้น เป็นสาเหตุให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้
                ข) แผงสวิตช์ที่มีจุดต่อเข้าปลายสายจำนวนมาก การต่อเข้าปลายสายอาจไม่แน่นหรือหน้าสัมผัสไม่ดี จะทำให้เกิดความร้อนสะสมทำให้ฉนวนชำรุด
                ค) การใช้งานเต้ารับ เต้าเสียบที่แตกชำรุด มีโอกาสทำให้เกิดกระแสไฟฟ้ารั่วระหว่างขาของเต้ารับหรือเต้าเสียบ หรือเกิดการรั่วลงดินที่เต้ารับ เป็นเหตุให้เกิดความร้อน ซึ่งหากใช้ต่อไปเป็นเวลานานก็อาจทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรได้
   
          3. สาเหตุที่เกิดจากเครื่งใช้ไฟฟ้า อาจเกิดได้จาก
                ก) การใช้งานไม่ถูกต้อง เช่นการใช้งานเกิดกำลังของเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือใช้งานต่อเนื่องนานเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนมาก โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีขดลวดตัวนำ เพราะลวดตัวนำนั้นอาจทำให้เกิดการลัดวงจรขึ้นภายในอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้
                ข) เครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุดบกพร่อง ซึ่งอาจเกิดจากอายุการใช้งานของเครื่องใช้ไฟฟ้า การเสื่อมสภาพเนื่องจากการใช้งาน ซึ่งความบกพร่องที่เกิดขึ้นนี้จะเป็นสาเหตุให้เกิดการลัดวงจรขึ้นที่ภายในเครื่องใช้ไฟฟ้า
                ค) มีการเปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าลืมทิ้งไว้ โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทที่ให้ความร้อน เช่น กาน้ำร้อน เตาไฟฟ้า กะทะไฟฟ้า เตารีด ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนมากจนฉนวนของเครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุด เกิดไฟฟ้าลัดวงจรหรืออาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดเพลิงไหม้ได้
               ง) การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ที่ปลอมแปลง ลอกเลียนแบบ เมื่อใช้งานมีโอกาสสูงที่จะเกิดการชำรุดภายในและเกิดการลัดวงจร

อ้างอิงจาก หนังสือ คู่มือคำแนะนำความปลอดภัยเบื้องต้นในการใช้ไฟฟ้า สำหรับผู้ประกอบการ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

eDLTV

          วันนี้ได้มีโอกาสพบเอกสารแผ่นพับแนะนำ โครงการเทคโนสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ร่วมกับ มูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จัดทำ e-Learning ของการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม ที่ได้เผยแพร่และเป็นการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับโรงเรียนที่อยู่ห่างไกล eDLTV ประกอบด้วย
          เพิ่มโอกาสการเรียนรู้วิชาชีพที่ตนสนใจกว่า 70 อาชีพ eDLTV เพื่อพัฒนาอาชีพของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ที่มีเนื้อหาครอบคลุม 70 อาชีพ รวม 1,365 เรื่อง เช่น เสื้อสมัยนิยม ครัวการอาชีพวังไกลกังวล ปักสวยด้วยมือ การนวดแผนไทย ฯลฯ ซึ่งสามารถเรียนรู้ได้ผ่านทางช่องทาง http://edltv.vec.go.th 
          เพื่อช่วยลดปัญหาขาดแคลนครูของโรงเรียนในชนบท ช่องทางของโครงการระบบ e-Learning ของมูลนิธิการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียมระดับประถมศึกษา http://edltv.dlf.ac.th และระดับมัธยมศึกษา http://edltv.thai.net นอกจากนี้เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของเยาวชน มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตจัดทำระบบ eDLTV สำหรับการศึกษาระดับปฐมวัย และระดับประถมศึกษา เพื่อถ่ายทอดกิจกรรมการเรียนการสอนของโรงเรียนสาธิตละอออุทิศ เผยแพร่ทางเว็บไซต์ http://edlru.dusit.ac.th


วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

อันตรายจากไฟฟ้า

ไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงานที่จำเป็นในการใช้ชีวิตของคนเราในปัจจุบัน นอกจากจะใช้เป็นแหล่งพลังงานให้แสงสว่างในยามค่ำคืนแล้ว ยังเป็นแหล่งพลังงานให้แก่เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ อีกด้วย แต่ถ้าใช้ไม่ถูกต้องอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้

วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2552

การกำเนิดพลังงานไฟฟ้า

ไฟฟ้าเป็นพลังงานที่มีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเรา เพราะเป็นพลังงานที่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานอื่นๆ ได้ ใช้เป็นพลังงานที่ให้แก่เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประวันของเรา ซึ่งพลังงานไฟฟ้าสามารถกำเนิดขึ้นได้ 7 วิธีด้วยกันคือ